Tuesday, 1 October 2013

ทำไม!ต้องค้านเขื่อนแม่วงก์ "No Mae Wong Dam"









ผู้เขียนเองก็เพิ่งจะทราบมาไม่นานนี้เองว่าเกิดข่าวนี้ขึ้นมา เกี่ยวกับเรื่องการ ต่อต้านการสร้างเขื่อน แม่วงก์ ในจังหวัด นครสวรรค์  จึงทำให้ข้าพเจ้าอยากสืบหาข้อมูล มาให้เพื่อนได้ทราบถึงข้อเสีย และ ข้อดี และ รายละเอียดเล็กๆน้อยๆ เพื่อว่าท่านที่อ่านจะได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้องกัน ก่อนตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไร เริ่มต้นจากอันนี้เลย

เขื่อนแม่วงก์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เขื่อนแม่วงก์ เป็นโครงการก่อสร้างในความรับผิดชอบของกรมชลประทาน กั้นแม่น้ำแม่วงก์บริเวณเขาชนกัน หรือเขาสบกก [1] ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ อำเภอแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ ได้รับอนุมัติงบประมาณก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2555 เป็นเงิน 13,280 ล้านบาท ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 8 ปี ผูกพันปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 - 2562[2]
เขื่อนแม่วงก์เป็นเขื่อนหินทิ้งแกน ดินเหนียว มีความยาว 730 เมตร กว้าง 10 เมตร สูง 57 เมตร มีพื้นที่อ่างเก็บน้ำประมาณ 13,000 ไร่ ปริมาณกักเก็บน้ำประมาณ 250 ล้านลูกบาศก์เมตร [3]

โครงการก่อสร้างได้รับการศึกษาความเป็นไปได้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบ [1] จนกระทั่งได้รับการอนุมัติการก่อสร้างในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยให้เหตุผลว่าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการบริหารจัดการน้ำ เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมบริเวณลุ่มน้ำสะแกกรัง แต่ก็ยังมีข้อโต้แย้งจากองค์กรพัฒนาเอกชน ว่าเป็นเขื่อนขนาดเล็ก ซึ่งไม่คุ้มค่าการลงทุน และต้องมีการสูญเสียพื้นที่ป่าถึง 18 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์ป่าหลายชนิด รวมทั้งเสือโคร่ง ช้าง และนกยูง[4]


ผลกระทบเบื้องต้น

การก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ จะทำให้สูญเสียพื้นที่ป่าไม้ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ไม่น้อยกว่า 13,000 ไร่ เป็นไม้ใหญ่ประมาณ 500,000 ต้น ซึ่งในจำนวนนี้มีไม้สักประมาณ 50,000 ต้น กล้าไม้อีก 10,000 ต้น หรือเปรียบ เทียบได้ว่าพื้นที่ป่า 1 ไร่ ที่จะถูกน้ำท่วมจะมีไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ 80 ต้นเป็น ไม้สัก 13 ต้น ลูกไม้ 576 ต้น และกล้าไม้อีก 1,880 ต้น
จากการคำนวณพื้นที่ป่าที่จะสูญเสียไป จากการสร้างเขื่อนแม่วงก์ เมื่อคำนวณเป็น ปริมาณคาร์บอนที่ต้นไม้สามารถดูดซับไว้ได้นั้น หากมีการสร้างเขื่อนแม่วงก์ ประเทศไทยจะสูญเสียพื้นที่ที่ สามารถดูดซับคาร์บอนได้ประมาณ 10,400 ตันคาร์บอน ป่าแม่วงก์มีสัตว์ป่าอาศัย อยู่อย่างน้อย 549 ชนิด และมีปลาอาศัยอยู่ในลำน้ำ 64 ชนิด (ใน EIA รายงานไว้ 61 แต่สำรวจเจอเพิ่มจากการลงพื้นที่อีก 3 ชนิด) ในจำนวนนี้มีเพียง 8 ชนิด หรือ 13% ที่สามารถผสมพันธุ์ในแหล่งน้ำนิ่งในอ่างเหนือเขื่อนได้นอกนั้นต้องอาศัย พื้นที่น้ำไหลหรือน้ำหลากซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติ[3]

ในสื่อมวลชน

เขื่อนแม่วงก์ถูกกล่าวถึงในสื่อมวลชนหลายแหล่งโดยเริ่มจากกระแสของการประท้วงการอนุมัติ EHIA โดยอาจารย์ศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร การลงรายชื่อหยุดโครงการสร้างเขื่อนแม่วงก์ กว่า 100,000 คน ที่ change.org[5] รวมถึงการห้ามออกอากาศ รายการ คนค้นฅน ตอน ศศิน เฉลิมลาภ 388 กม. จากป่าสู่เมือง[6]

  โอเคนั้นเป็นข้อมูล บางส่วนจากวิกีพิเดีย นะครับ ซึ่งอันนี้เป็น intro อย่างดีให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ได้รู้เกี่ยวกับเขื่อนแม่วงก์ 



เขื่อนแม่วงก์

          ด้านนิเวศ คือ ระบบนิเวศทั้งหมดจะถูกคุกคาม เกิดการทำลายป่าต้นน้ำ และอาจเกิดการลักลอบตัดไม้ริมอ่างเก็บน้ำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยาก เร่งให้สัตว์ป่า เช่น นกยูง เสือโคร่ง ต้องสูญพันธุ์ และยังสามารถลักลอบล่าสัตว์ป่าได้ง่าย นอกจากนี้ ยังจะทำให้สัตว์ป่าสูญเสียที่อยู่อาศัย ทำลายโอกาสการฟื้นฟูของอุทยาน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อป่ามรดกโลก "ห้วยขาแข้ง" เนื่องจากพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์นั้น มีความสำคัญในฐานะเป็นป่าหน้าด่านของป่าห้วยขาแข้ง เป็นพื้นที่ความหวังของการแพร่กระจายสัตว์ป่า และเป็นที่ที่พบเสือโคร่งจากห้วยขาแข้งออกมาหากิน

          ด้านเศรษฐกิจและสังคม คือ เนื่องจากเขื่อนแม่วงก์มีขนาดเล็ก จึงไม่คุ้มค่ากับการลงทุน อีกทั้งยังไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำแล้ง-น้ำท่วมได้ นอกจากนี้ยังทำลายแหล่งศึกษาธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และทำลายความเชื่อมั่นด้านสิ่งแวดล้อมของไทยด้วย อีกทั้งยังเป็นช่องทางให้โครงการพัฒนาขนาดใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่อนุรักษ์ อื่น ๆ ได้อีกในอนาคต

          ในแง่ของเสียงสนับสนุน มีความต้องการให้สร้างเขื่อนแม่วงก์ เนื่อง จากรัฐบาลอ้างว่า เขื่อนจะสามารถป้องกันน้ำท่วมในลุ่มน้ำแม่วง เขต อ.แม่วงก์ และ อ.ลาดยาว จ.นครสวรรค์ แต่ นายอดิศักดิ์ จันทวิชานุวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมภาคเหนือตอนล่าง กล่าวว่า ข้อมูลจากกรมชลประทานปีที่แล้วระบุว่า น้ำไหลผ่านจังหวัดนครสวรรค์ 44,000 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่ตัวเขื่อนแม่วงก์สามารถเก็บน้ำได้เพียงประมาณ 250 ล้านลูกบาศก์เมตร เท่ากับเป็นการแก้ปัญหาเพียง 1% เท่านั้น ดังนั้น เขื่อนนี้จึงไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาน้ำท่วมภาคกลาง และไม่เกิดความคุ้มค่าแก่การลงทุนหากสร้างเพื่อป้องกันน้ำท่วม

          อีกทั้งการสร้างเขื่อนที่บริเวณเขาสบกก เป็นการกั้นลำน้ำแม่วงเพียงสายเดียว แต่ยังมีลำน้ำอีกหลายสายที่ไหลมาบรรจบตรงที่ลุ่มอำเภอลาดยาว ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของน้ำท่วมในตัวเมือง และจากการสอบถามชาวบ้านลาดยาวหลายคน ระบุว่า เมื่อถึงฤดูน้ำหลาก น้ำก็จะท่วมเพียง 2-5 วัน เท่านั้น หลังจากนั้นน้ำก็จะลดตามธรรมชาติ เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร เว้นแต่ปีที่แล้วที่ท่วมเป็นเวลานานที่น่าจะเกิดจากการจัดการน้ำไม่ดี ไม่ปล่อยให้ไหลตามธรรมชาตินั่นเอง

          ด้านการแก้ภัยแล้งในพื้นที่เกษตรกรรม คือการชูเขื่อนแม่วงก์ให้เป็นที่เก็บน้ำเพื่อที่เกษตรกรในพื้นที่ อ.ลาดยาว และ อ.สว่างอารมณ์ จะได้มีน้ำไว้ใช้ยามหน้าแล้ง แต่ ข้อมูลจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมภาคเหนือและมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร ระบุว่า บริเวณดังกล่าวมีพื้นที่กว่า 291,900 ไร่ ความต้องการใช้น้ำเฉลี่ย 347.9 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ส่วนใหญ่ทำนาข้าว ซึ่งต้องใช้น้ำเฉลี่ย 500 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ ดังนั้น เมื่อคำนวณแล้วน้ำทั้งหมดจากเขื่อนจะสามารถใช้ได้เพียงแค่ 40 วัน ซึ่งไม่เพียงพอกับการทำนาข้าวซึ่งต้องใช้น้ำประมาณ 120 วัน อีกทั้งตามหลักของการบริหารจัดการเขื่อน ต้องรักษาระดับเก็บกักน้ำไว้อย่างน้อย 100-150 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อความแข็งแรงของโครงสร้างฐานเขื่อนอีกด้วย

          นอกจากนี้ บริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่ที่จะสร้างเขื่อนแม่วงก์นั้น ยังมีเขื่อนอีกหลายแห่ง เช่น เขื่อนทับเสลา เขื่อนคลองโพธิ์ ซึ่งก่อสร้างเสร็จมาประมาณ 10 ปีแล้ว แต่ไม่ได้ช่วยเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งเลย เพราะพื้นที่อยู่ในเขตเงาฝน ปริมาณน้ำฝนน้อย และการก่อสร้างเขื่อนไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้ฐานเขื่อนรองรับน้ำปริมาณมากไม่ได้ ซึ่งก็เป็นเพียงอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าการสร้างเขื่อนไม่ใช่คำ ตอบของพื้นที่นี้

          สำหรับความสำคัญของป่าแม่วงก์นั้น ป่า แม่วงก์บริเวณที่จะถูกน้ำท่วมเป็นป่าริมน้ำและป่าที่ราบต่ำ ซึ่งต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 200 เมตร เป็นที่อาศัยของสัตว์ป่าขนาดใหญ่ เช่น ช้าง เสือ และเป็นแหล่งอาหารสำคัญของสัตว์ป่าด้วย แม้ว่าการสูญเสียป่าแม่วงก์ไป 18 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นเพียงร้อยละ 2 ของป่าทั้งหมด แต่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของป่าทั้งระบบมาก เพราะ มันคือ "หัวใจ" เนื่องจากป่าแม่วงก์เป็นส่วนสำคัญของผืนป่าตะวันตก ที่เกิดจากป่าอนุรักษ์ 17 ผืนต่อกันเป็นป่าผืนใหญ่ขนาด 11.7 ล้านไร่ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นบ้านของสัตว์ป่านานาชนิด เช่น เสือโคร่ง ช้าง กระทิง วัวแดง สมเสร็จ ควายป่า ฯลฯ

          อนึ่ง ป่าแม่วงก์ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติแม่วงก์มา 25 ปีแล้ว และเป็นพื้นที่แห่งโอกาสของสัตว์ป่า เนื่องจากเป็นป่าที่สมบูรณ์ จึงเป็นบ้านและแหล่งอาหารของสัตว์ป่าที่หากินนอกเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วย ขาแข้ง นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบที่ไม่สามารถป้องกันในช่วงเวลาก่อสร้างเขื่อนตลอด 8 ปี ได้แก่ การตัดไม้เกินพื้นที่ที่กำหนด การลักลอบล่าสัตว์ป่า เสียงที่ดังรบกวนสัตว์ป่า การยึดพื้นที่ริมอ่างและการเก็บหาของป่า ฯลฯ

          นอกจากนี้ ยังมีปัญหาจากการสร้างเขื่อนแม่วงก์อีกมาก เช่น จะต้องมีการเวนคืนที่ดิน เพื่อทำคลองยาว 500 กิโลเมตร และคลองระบายน้ำ ซึ่งต้องเวนคืนที่ดินจากชาวบ้านกว่าพันราย รวมที่ดิน 10,892 ไร่ อีกทั้งยังต้องเวนคืนที่ดินอื่น ๆ เพิ่มอีกในการสร้างเขื่อน คือ ที่ดิน 850 ไร่ ที่บ้านคลองไทร ต.แม่เล่ย์ อ.แม่วงก์ เพื่อใช้เป็นบ่อยืมดิน ที่ดิน 55 ไร่ ที่บ้านท่าตาอยู่ ต.ปางมะค่า เพื่อใช้ปรับปรุงฝายท่าตาอยู่ และที่ดิน 173 ไร่ ติดเขาสบกก เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่หัวงานอีกด้วย

          โดยหลังจากการสร้างเขื่อน ยังอาจเกิดปัญหาขึ้นอีก คือ ชาวบ้านอาจต้องสูบน้ำเข้าที่นาเอง เนื่องจากเขื่อนมีขนาดเล็ก น้ำอาจไม่มากพอส่งมาท้ายเขื่อนของพื้นที่ชลประทาน และปัญหาความเหลื่อมล้ำของผู้มีอำนาจที่อาจได้รับประโยชน์การใช้น้ำชลประทาน ก่อน เพราะรัฐยังไม่ระบุว่าพื้นที่ระบบชลประทานหน้าแล้งตรงไหนที่ได้รับประโยชน์ บ้าง ในขณะที่ชาวบ้านสามารถจัดการปัญหาเรื่องน้ำด้วยตนเองได้ ตามโมเดลที่เคยมีคนทำแล้วได้ผล เช่น

           ชาวนาที่ศาลเจ้าไก่ต่อ ทำนาโดยใช้ระบบสูบน้ำและส่งน้ำบาดาล โดยการขุดคลองรอบคันนาเพื่อส่งน้ำไปใช้ ด้านหนึ่งของคันนาจะขุดเป็นบ่อพักน้ำหมุนเวียนในนาซึ่งเลี้ยงปลาไว้เป็นราย ได้เสริมด้วย

          ทางออกเรื่องน้ำระดับชุมชนของ "บ้านธารมะยม" ที่มีเขาแม่กระทู้เป็นต้นน้ำ และใช้ต้นน้ำนี้ทำประปาภูเขา ส่วนตามลำห้วยก็สร้างฝายกั้นน้ำ สร้างอ่างเก็บน้ำ เพื่อไปใช้ในที่นา รวมถึงขุดบ่อน้ำไว้เลี้ยงปลา เมื่อน้ำอุดมสมบูรณ์ ชุมชนก็ทำเกษตรได้ มีรายได้เลี้ยงครอบครัว และเงินค่าน้ำประปาภูเขาก็กลายมาเป็นกองทุนและสวัสดิการต่าง ๆ ของชุมชน

          การแก้ปัญหาเรื่องน้ำในระดับตำบลโดยภาครัฐที่ ต.หนองหลวง อ.สว่างอารมณ์ จ.อุทัยธานี ที่สนับสนุนการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็กในตำบล เช่น สร้างฝาย อ่างเก็บน้ำ โครงการสูบน้ำ ซึ่งก็เพียงพอต่อการอุปโภค-บริโภคของคนในตำบล

          ทางออกการจัดการน้ำที่ยั่งยืนอย่าง "ปิดทองหลังพระ model" ของโครงการปิดทองหลังพระ จ.น่าน ที่สร้างถังเก็บน้ำไว้ในหมู่บ้าน สร้างฝายต้นน้ำ ฝายชะลอน้ำ และสร้างอ่างพวงเพื่อส่งน้ำไปใช้เพื่อการเกษตร รวมถึงปลูกพืชที่เหมาะสมกับพื้นที่ด้วย

          หากไม่มีเขื่อนแม่วงก์ เครือข่ายองค์กรอนุรักษ์ด้านสิ่งแวดล้อม ระบุว่า ชาวบ้านในพื้นที่ชลประทานก็ยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้และอยู่ดี เนื่องจาก

          1. มีป่าเขาชนกันที่มีสายน้ำไหลตลอดปีกว่า 10 สาย ซึ่งสามารถจัดการได้ตามแบบบ้านธารมะยม และ ต.หนองหลวง

         
2. มีน้ำใต้ดินที่ลึกเพียง 3 เมตร หรือลึกกว่า ที่สามารถพัฒนาเป็นสระน้ำในไร่นาได้แบบที่ "ศาลเจ้าไก่ต่อ"

         
3. หลายพื้นที่อาจพัฒนาระบบอ่างเก็บน้ำหลักและอ่างพวงตามแบบ "ปิดทองหลังพระโมเดล"

         
4. ลำน้ำนอกเขตอุทยานก็สามารถพัฒนาเป็นแหล่งเก็บน้ำได้อีกมาก โดยปรับปรุงฝายเดิมหรือสร้างใหม่ให้เหมาะสม

         
5. ให้งบประมาณแก่คนทั้ง 23 ตำบล ตำบลละ 200 ล้านบาท รวมเป็น 4,600 ล้านบาท แล้วหาทางพัฒนาแหล่งน้ำโดยชาวบ้าน แล้วให้ข้าราชการเป็นที่ปรึกษา ดีกว่าสร้างเขื่อนทับป่าสมบูรณ์ พร้อมคลองชลประทานดาดคอนกรีต 500 กิโลเมตร ด้วยงบ 13,000 ล้านบาท

         
6. ให้แม่วงก์เป็นต้นแบบโครงการที่ราษฎรและข้าราชการร่วมกันแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำโดยไม่ทำลายป่าเพื่อสร้างเขื่อน

         
7. ขยายพื้นที่มรดกโลกทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง โดยรวมอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ อุทยานแห่งชาติคลองลาน และทั้งผืนป่าตะวันตกเข้าด้วยกัน

          และนี่ก็คือที่มาที่ไปของโครงการสร้างเขื่อนแม่วงก์ และเหตุผลที่ว่า ทำไมหลายคนถึงออกมาร่วมรณรงค์คัดค้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์นั่นเอง
 
 "การคัดค้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์ ไม่ใช่แค่เรื่องของนักอนุรักษ์ หรือเอ็นจีโอ เพราะมันเป็นมากกว่าประเด็นทางสิ่งแวดล้อม แต่เป็นเรื่องของ "ความถูกต้อง" / เงินภาษี 1.3 หมื่นล้าน กำลังถูกนำไปใช้ทำลายป่าที่ดีที่สุดของประเทศ ทั้ง ๆ ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วม / แต่นักการเมือง ข้าราชการกลับบิดเบือนข้อมูล และดึงดันจะสร้าง ทั้ง ๆ ที่จะส่งผลกระทบมากมาย / และกำลังใช้วิธีการเอามวลชนที่เห็นต่างมาเผชิญหน้ากัน

            อย่ายอมให้นักการเมืองดื้อด้าน ชอบพูดจาดูถูกประชาชน ทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจกับประเทศของพวกเรา ออกมาแสดงพลังบริสุทธิ์กันมาก ๆ ให้นักการเมืองเห็นว่า เราไม่ใช่พวกไทยเฉย ให้สื่อกระแสหลักต้องออกมาทำข่าว และให้เห็นว่า พลังบริสุทธิ์ จะไม่ยอมรับความไม่ถูกต้อง"



ขอขอบคุณข้อมูลจากเวปไซด์หลายๆเวป ด้วยครับที่ให้ความรู้และความคิดกับทุกๆคน

Sunday, 28 July 2013

Every action has a Reaction ( ทุกๆ การกระทำ มีผลกระทบตอบสนอง )


วันนี้จะพูดถึงเรื่องทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ ทุกๆอย่างที่เราทำไปนั้น มันจะมีผลกระทบตอบสนอง 
ผลกระทบตอบสนองคืออะไร คือ เอาง่ายๆ ยกตัวอย่างเช่น เรารดน้ำต้นไม้ทุกวัน นานๆไปต้นไม้ของเราก็จะโตแข็งแรง ออกดอก ออกผล ให้เราชื่นชม และเป็นประโยชน์ต่อตัวเรา และ โลก 
แต่ด้วยทุกๆวันนี้โลกเราเจริญก้าวหน้าไปในทุกๆทาง ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี และ สังคม เศรษฐกิจ หลายต่อหลายพัฒนาไปจากยุคก่อนๆ มาก   แต่ว่าผลทางกลับกันก็คือไม่การใช้และเผาผลาญไปมากเช่นกัน มองกันง่ายๆ ต้นไม้  ธรรมชาติ  สัตว์ป่า ที่สำคัญ ในความคิดของตัวผมเอง จิตใจของผู้คนนั้นไม่พัฒนาไปในด้านที่ดีสักเท่าไรผู้คนหลายๆคน ที่ผมรู้จักและคลุกคลี หรือ เติบโตมาด้วยกันนั้น เปลี่ยนแปลงตัวเองไปมาก ไม่ค่อยแคร์ต่อการกระทำของตัวเองเท่าไร เมื่อก่อนตอนเด็กๆนั้นเรา เคยมั้ยที่แบบว่า "เอ้ย หมาน่าสงสารหว่ะ  เด่วหาข้าวมาให้กินนะ รอก่อน" นั้นคือสิ่งที่ผมเคยได้ยินมากับหูตัวเอง  แต่เดี๋ยวนี้ สิ่งที่ผมได้ยิน " เฮ้ย หมา ข้างถนน  น่าสงสารหว่ะ " แต่กริยาที่คน คนนั้นทำคือ  เริ่มหาเหี้ยอะไรก็ได้ เอาไปปาให้มันไปไกลๆ   ผมเลยถามว่าไปทำมันทำไมว่ะ  โดนตอบกลับมาว่า " หมาแม่งสกปรก" เลย งง นิดนึงว่า ต้องทำร้ายหมา เลยหรือ เพื่อให้มันออกไป ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร เห็นเมื่อก่อนคนผู้นี้รักสัตว์มาก รักหมา แต่เดี๋ยวนี้ เป็นแบบนี้  (โทษทีนอกเรื่องไปไกล)
กลับมาที่ประเด็นก่อน คือ ผมจะบอกว่าไอ้ประโยค " Every action has a Reaction" นั้นคือ 
ให้คิดดูละกันว่า เราทำอะไรกับโลกใบนี้ที่เราอยู่ไปบ้าง เราใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่โลกให้เรา แต่คิดดูว่าเราเคยทำอะไรเพื่อช่วยให้กับโลกของเราบ้าง เอาเป็นว่าเราคงช่วยอะไรได้ไม่มาก แต่หากเราช่วยกันคนละนิด ละหน่อย เพื่อทำให้สิ่งต่างๆที่แย่ๆ มันกลับมาดี ผมว่าไม่นาน คงจะสวยงาม และ ก็คนคงมีความสุขกันมากกว่านี้  เอาเป็นว่าแค่นี้หละ  ผมนี้เอาเพลงวง Rise against มากฝากครับ เพลงนี้เกี่ยวกับสิ่งที่ผมบอกพวกคุณหละ แต่ว่าประเด็นที่เขาพูด นั้นกว้างใหญ่ กว่าสิ่งที่ผมพยามบอกพวกคุณซะอีก







Saturday, 12 January 2013

อ่านดูครับดีมากครับ


ลองอ่านดูครับดีมาก



คุณ…เหยียดสีผิวหรือเปล่า?

เมื่อไม่กี่วันก่อนดิฉันมีโอกาสคุยกับเพื่อนคนหนึ่งเกี่ยวกับการไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน หรือเข้ารวมโครงการประเภท work and travel ต่างๆ ที่กำลังๆ ได้รับความนิยม เนื่องจากดิฉันเคยเรียนทั้งในโรงเรียน และมหาวิทยาลัยนานาชาติ

เพื่อนคนนี้จึงอยากทราบว่าชาวต่างชาติ(ตะวันตก)เท่าที่ดิฉันเคยเจอนั้น มีการเหยียดผิว หรือ เชื้อชาติหรือไม่ จากนั้นเพื่อนก็ให้ link มาให้ดิฉันอ่าน ส่วนมากเป็น blog ของคนไทยที่อยู่หรือเคยอยู่ต่างประเทศ และเจอกับการเหยียดผิวและเชื้อชาติhttp://topicstock.pantip.com/klaibann/topicstock/2007/10/H5917612/H5917612.html
http://topicstock.pantip.com/klaibann/topicstock/2006/03/H4203217/H4203217.html
http://dek-d.com/board/view.php?id=838447

ดิฉันก็ตอบไปตามความเป็นจริงว่า จากประสบการณ์ในโรงเรียน และมหาวิทยาลัย ที่เคยมีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่ที่นี่ หรือนักเรียนแลกเปลี่ยนนั้น ดิฉันไม่เคยเจอประสบการณ์เช่นนั้นแม้แต่ครั้งเดียว แต่ที่เคยโดน คือโดนคนไทยเหยียดมากกว่า

แน่นอนเราทราบกันดีว่าการเหยียดสีผิวในต่างประเทศบางที่นั้น มีความรุนแรงพอสมควร ถึงขั้นมาการลงไม้ลงมือก็เคยได้ยิน ถ้าเราจะเดินทางไปในประเทศหรือพื้นที่นั้นๆ ก็ควรมีการเตรียมตัวให้ดี เพียงแต่มันฟังดูประหลาดที่คนไทยจะพูดต่อว่าชาวต่างประเทศ เสมือนว่าในประเทศไทยเองไม่มีแนวคิด หรือพฤติกรรมที่ไปในทางนั้นเช่นกัน หรือถ้าภาษาอังกฤษเรียกกันว่า "Hypocrisy" แน่นอนเราทุกคนเคยได้ยินคำว่า "ไอดำ ไอลาว ไอแขก" และอื่นๆ แล้วถ้าสิ่งนี่ไม่ใช่การเหยียดสีผิวและเชื้อชาติ แล้วมันคืออะไร ถ้าคุณพูดสิ่งเหล่านี้ในประเทศ อเมริกา อังกฤษ หรือ ยุโรป (ที่เราว่าเขาเหยียดผิว) มีหวังติดคุกหัวโตแน่นอน ดิฉันเคยคุยกับเพื่อนๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ และคำตอบที่ได้ก็คือว่าคำพูดเหล่านี้เป็นการพูดเล่น แต่มาคิดๆ ดูดิฉันไม่ค่อยจะเข้าใจว่าความตลกมันอยู่ตรงไหน หากคุณเป็นคนที่โดนใช้คำพูดเช่นนี้กับตัว





เคยสงสัยไหมว่าทำไมคนไทยจึงกลัวดำเป็นชีวิตจิตใจ แน่นอนทุกคนมีสิทธิที่จะมีความชอบส่วนตัว ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่มันกลายเป็นเรื่องไม่ปกติ ก็ต่อเมื่อคุณทำให้คนกลุ่มหนึ่งเสียความรู้สึก หรือรู้สึกด้วยกว่า เพียงเพราะมีสีผิวที่เข้มกว่า ด้วยคำพูดที่เรียกกันว่า "การล้อเล่น" มันสมควรแล้วหรือ ที่จะเอาเชื้อชาติ หรือความเป็นคนของคนๆ หนึ่ง มาล้อเลียน

ในต่างประเทศอาจมีการเหยียดสีผิว แต่ในขณะเดียวกันก็มีความพยายามป้องกันโดยใช้กฎหมาย ซึ่งเป็นวิธีการแสดงจุดยืนของประเทศนั้นๆ แน่นอนประชาชนบางกลุ่มเปลี่ยนได้ยาก แต่อย่างน้อยก็มีความพยายามทำให้คนเข้าใจว่า การทำเช่นนั้นไม่ถูก แต่ในประเทศเรา ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่คนชอบล้อเลียนกันมากที่สุดสิ่งหนึ่ง แนวคิดนี้เห็นได้ทั่วไปในประเทศไทย โดยที่คนส่วนมากอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าสิ่งที่ตนทำ ก็เป็นการเหยียดสีผิวแบบหนึ่งนั่นเอง เมื่อคราวเรียนอยู่ในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยนานาชาติ ต้องขอบอกตามความจริงว่านานๆ ทีจริงๆ ที่จะได้ยินคำพูด หรือกิริยา ที่ไปในทางต่อว่าคนผิวคล้ำ คนไหนสวยก็ชมว่าสวย ไม่ว่าจะผิวสีอะไรก็ตาม รวมทั้งนักเรียนไทยเองก็ดูเหมือนจะกลมกลืนไปกับบรรยากาศนานาชาติ แต่ขณะนี้ ที่ดิฉันกำลังศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต นานๆ ทีที่จะไม่ได้ยินใคร "ล้อ" ใครว่า "ดำ" หรือใช้คำพูดอื่นๆ ในการสื่อถึงความแตกต่างของสีผิว





ไม่กี่วันที่ผ่านมา เพื่อนสนิทของดิฉันสองคนเอาแขนมาเทียบกัน แล้วคนที่ขาวกว่าก็บอกว่า "เราขาวกว่าเธออีก" ด้วยน้ำเสียงดีใจ ส่วนอีกคนก็บอกว่า "แย่แล้ว" พอไปช็อปปิ้งกับเพื่อนผู้หญิง สิ่งหลักๆ ที่เพื่อนๆ จะถามคือ "ตัวนี้ใส่แล้วดำไหม" เพราะว่าถ้าใส่แล้วดำสวยแค่ไหนก็คงไม่ซื้อ โฆษณาครีม whitening ต่างๆ ก็สื่อออกมาอย่างโจ่งแจ้งมากว่า พอผิวคล้ำผู้ชายไม่สนใจ แต่พอทาให้ขาวแล้วผู้ชายมาหลงใหล ทุกคนดูเหมือนจะ "บ้าความขาว" ซึ่งยังพอรับได้ในตัวมันเอง ตราบใดที่คุณไม่ดูถูกคนคนอื่นในเวลาเดียวกันและไม่มีการยึดติดว่าคนขาวกว่า ต้องสวยกว่า หรือ ดีกว่า และอื่นๆ

สิ่งที่แย่ที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ ประชากรไทยก็ยังมีอยู่มากที่ผิวคล้ำ ดังนั้นคนเหล่านี้ถูกเพื่อนร่วมชาติกันเองดูถูกและล้อเลียนอยู่บ่อยๆ ในสยามเมืองยิ้มแห่งนี้ แล้วจะเอาอะไรกับคนต่างชาติที่มาเหยียดเรา

สรุปแล้ว…คุณเหยียดสีผิวหรือเปล่า…ถ้าใช่ก็ยังไม่สายเกินที่จะเปลี่ยนความคิดไปในทางที่ดีกว่า

นศพ. อลิษา สัจจเทพ
ชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต

Sunday, 19 August 2012

เมืองไทยต้องปฎิวัติ ในเรื่องเกี่ยวกับการสนับสนุนคนทำเพลง และ สนับสนุนให้ผู้คนมีมนุษย์ธรรม ลงไปใสสมอง เลิกเห็นแก่ตัว และ เงินทอง จนเกินไป

โปรดอ่านครับเพื่อนพี่น้อง ผมว่า เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ครับ
และก็ผมแสดงความเสียใจเกี่ยวกับเรื่องที่ ผมจะนำเสนอนี้ด้วย เพราะว่า พี่คนนี้เขา ทำอะไรด้วยใจ
แต่อย่างว่า ใครแม่งทำอะไรด้วยใจ คนเราสมัยนี้ไม่เคยเห็นคุณค่าของ คนสักเท่าไรหรอก
มันช่าง น่าเสียดายจริงๆ    บทความพี่เขานี้  ค่อนข้างน้อยอกน้อยใจนิดหน่อย แต่ก็พี่เขาอยากให้เห็นว่ามันเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากๆ   เอางี้ ละกันนะครับ   ลองไปคิดกันดูเองแล้วกันว่า เป็นอย่างไร   ขอบคุณครับที่ พี่เขาโพสอะไรดีๆ ไว้ให้เราอ่านและ คิดกัน



>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>


บันทึก  04.20 10/08/55
by Ope Pisitsungkakarn

ผมเป็นคนๆนึงที่ถือว่าโชคดี
ที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงแทบจะทั้งหมดของวงการดนตรี
ตั้งแต่การอัดลงเทป 4 แทรค จนพัฒนาไปเป็นเทปreel 16 แทรค
จนถึงเป็นระบบdigital ตั้งแต่ต้องฟังเพลงด้วยแผ่นเสียง
ต่อมาก็เป็นตลับเทปม้วนใหญ่คล้ายๆตลับเกมส์
จนพัฒนามาเป็นคลาสเซ็ทเทป จนถึงเป็นซีดี

ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง
ผลลัพท์ในการเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งจะเป็นผลบวกเสมอ เช่น ระบบเสียงดีขึ้น สะดวกในการฟังมากขึ้น อุปกรณ์หาง่ายและมีให้เลือกมากขึ้น
ทำให้ธุรกิจทางด้านบันเทิงมีความเจริญรุ่งเรือง
เราสามารถที่จะมีเครืองไม้เครื่องมือที่ทันสมัยทัดเทียมกับต่างประเทศได้ไม่ยากนัก

แต่เมื่อวันนึง
ใครก็ไม่รู้คิดค้นวิธีอัดบีบเพลงให้เล็กลงโดยสูญเสียคุณภาพไปบ้าง
แต่ก็สะดวกในการที่จะอัดเพลงหลายๆเพลง
ลงในซีดีหรือแฟลชไดรฟ์เพียงชิ้นเดียว

นับจากวันนั้นทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป
เกิดการละเมิดลิขสิทธ์เกิดขึ้นมากมายจนไม่สามารถแก้ไขได้
เพลงๆนึงจากเคยที่มีราคาประมาณ 30 บาท
(จากราคาซีดีสมัยนั้นคือประมาณ 300 บาทนะครับ)
เหลือเพียงแค่ไม่ถึงหนึ่งบาท(แผ่นผี)

พวกคนทำงานอย่างพวกผมบอกได้เลยว่าล่มสลายไปเกินครึ่ง
รายได้หายไปเกิน 70% ทำให้จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนขั้นตอน
ระบบในการทำงานลงให้เล็กที่สุด ทำต้นทุนให้ถูกที่สุด

จากที่เคยไปใช้ห้องอัดที่ดีๆมีมาตราฐาน
ก็กลายเป็นต้องพยายามจบงานทุกอย่างให้ได้ภายในคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว
 บางคนอาจจะเถียงนะครับว่า
เทคโนโลยีสมัยนี้มันน่าจะเอื้ออำนวยในการทำแบบนั้นได้
ซึ่งผมก็ไม่เถียงนะครับ มันจบงานได้จริง
 แต่ผมบอกได้เลยว่าคุณภาพที่ได้มันต่างกันมาก

แต่ก็ช่างมันเถอะ เพราะยังไงส่วนใหญ่ก็ฟังในรูปแบบMP3อยู่แล้ว
ดีไม่ดีอย่างไรก็คงไม่สำคัญอะไร(มั้ง)  พวกผมทำได้ก็แค่เพียงปรับตัวให้อยู่รอดได้
ซึ่งคนทำเพลงดีๆทีผมรู้จักหลายสิบคนก็เปลี่ยนอาชีพไปทำมาหากินอย่างอื่นแล้ว
 ใครที่่ยังพอปรับตัวได้ หรือมีทุนทรัพย์ส่วนตัวแข็งแรงก็สู้กันต่อไป


 มาจนถึงยุคปัจจุบัน
การพัฒนาในทางเทคโนโลยีก็เป็นไปอย่างก้าวกระโดด

การได้ฟังเพลงฟรีในทุกวันนี้แทบจะถือเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของคนทั่วๆไป
 เคยได้ยินกับหูหลายครั้งที่ว่า จะไปหาซื้อทำไม มีให้โหลดเยอะแยะ
ถามว่าผมเข้าใจมั้ย ผมเข้าใจนะครับ อยากฟังเพลงไรก็เข้าเวปsearchหาได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที สะดวกจะตาย แถมไม่เสียตังค์ซักบาท
แถมยังสามารถจัดแคตตาล๊อคเพลงได้ตามที่ชอบ writeลงcdแผ่นเดียว
เปิดฟังได้ตั้งแต่กรุงเทพยันเชียงใหม่โดยไม่ซ้ำกันซักเพลง

เป็นการเข้าสู่ยุคแห่งการละเมิดลิขสิทธิ์แบบสุดโต่ง
ประชาชนเกินครึ่งประเทศต้องการฟังเพลงฟรี

 ถามอีกว่าผมเข้าใจมั้ย ผมก็เข้าใจครับ
หลายๆคนก็บอกว่า ถึงขายซีดีไม่ได้ ขายdownloadไม่ได้

 ก็ยังขายโชว์ได้นี่นา ถูกครับ การได้มีงานโชว์ตัว
 หรือคอนเสริตคือรายได้หลักสุดท้ายของคนที่เป็นศิลปิน
แต่พวกที่ทำงานอย่างพวกผมล่ะครับ ได้ไปแสดงอะไรกับเค้าทีไหนล่ะ
จริงอยู่ที่่อาจจะมีรายได้จากลิขสิทธิ์เพลงที่เอาไปโชว์กลับมาอยู่บ้าง

 แต่บอกได้เลยว่าหลักร้อยต้นๆต่อหนึ่งโชว์ครับ
(ต้องหลายเพลงด้วยนะครับ)
 ส่วนรายได้จากการดาวน์โหลด ซีดี หรือ
ส่วนแบ่งจากรายได้อื่นๆนี่เลิกรอไปนานแล้วครับ
พวกผมเรียกกันว่าค่าขนมครับ นานๆมาที ทีละขำๆครับ


ทีนี้อยากให้ลองหลับตาแล้วนึกภาพตามนะครับ การทำอัลบั้มๆนึง
ตั้งแต่เริ่มขึ้นงานครั้งแรกโดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 9 - 12 เดือน

ถ้าเป็นอัลบั้มที่ติดขัดหน่อยอาจใช้เวลาถึง 2 ปีหรือกว่านั้น
 (ใครไม่เชื่อสามารถเช็คในไทม์ไลน์ของผมได้เลยว่าอัลบั้มๆนึงที่ผมทำใช้เวลา
นานขนาดไหน) ค่าใช้จ่ายในการทำอัลบั้ม ไม่ว่าจะเป็น ค่าห้องอัด ค่าจ้างนัก
ดนตรีมาอัดงานให้ ค่าmixเสียง ค่านักร้อง ค่่าคนทำเพลง เขียนเพลง และอีก
สารพัด อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีห้าแสนบาท นี่ยังไม่เกี่ยวกับค่าทำMV ค่าโฆษณา

 อะไรเลยนะครับ ที่นี้ลองนึกดูต่อนะครับ สมมุติว่าผมทำอัลบั้มๆนึง
 โดยมีงบหกแสนบาท หกแสนบาทนี้จะต้องถูกแจกจ่ายไปตามบุคลากรต่างๆที่อยู่ในขั้นตอนการผลิตต่างๆอย่างที่บอกไว้ข้างต้น

ผมเป็นโปรดิ๊วเซอร์ก็อาจจะได้เยอะหน่อย บวกค่าทำเพลงไปด้วย(ถ้ามี)
ก็น่าจะถึงตัวซัก 6-7 หมื่นบาท และโชคดีที่ผมมีห้องอัดอยู่ที่บ้านอยู่แล้ว
 เลยค่าห้องอัดต่างหากอีกประมาณแสนนึง มากสุดก็ไม่เกินแสนห้า
 แต่โปรดิ๊วเซอร์หลายคนก็ไม่ได้มีห้องอัดเหมือนผมก็รับแต่ค่าโปรดิ๊วเท่านั้น
  รวมแล้วทั้งโปรเจ็คน่าจะถึงตัวผมประมาณแสนห้าถึงสองแสน
ถ้าโชคดีอัลบั้มนี้ไม่มีปัญหา ก็น่าจะเสร็จภายในเก้าเดือน (270วัน)
ลองหารดูนะครับ ถ้าได้สองแสน หารด้วย 270 ก็ตกวันละประมาณ 740 บา
ท ถ้า แสนห้าก็ตกวันละ 555.55 บาท (เลขสวยมาก)
แต่ถ้าโชคร้ายอัลบั้มนี้ผมใช้เวลาไป18เดือนล่ะ (540วัน)
 ไปหารกันเอาเองนะครับก็มากกว่าแรงงานขั้นต่ำของนายกไม่ถึงร้อยอ่ะครับ 5555


คนที่ชอบฟังเพลงส่วนใหญ่คงรู้นะครับว่าสมัยนี้การปล่อยเพลงจะเป็นแบบsingle คือปล่อยมาที่ละเพลง ซึ่งก็หมายถึงว่า ออกเพลงนึง
 พวกผมก็ได้เงินเพลงนึงเหมือนกัน

เกิดงานไม่ประสพความสำเร็จก็อาจจะต้องหยุด เวลาที่เสียไปกับการเตรียมงาน ขึ้นงาน อัดเดโม่ และอีกมากมาย จะไปตามทวงใครก็ไม่ได้ ไม่เตรียมก็ไม่ได้  หลายครั้งที่พยายามรอบคอบแล้ว ไตร่ตรองดีแล้ว แต่ก็ไม่วายเกิดปัญหาอีก สุดท้ายก็เสียเปล่าไปทั้งเวลาและค่าน้ำ ค่าไฟ


ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่าตอนนี้ห้องอัดดีๆ
เครื่องไม้เครื่องมือดีๆมีมาตรฐานในระดับของห้องอัด
 ที่มีอยู่ในประเทศเรามีเหลือเพียงไม่กี่ที่เท่านั้น แล้วทีมีแทบจะทั้งหมดล้วนแล้วเกิดจากการใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัวที่มีอยู่แล้วจากกิจการงานอื่นๆมาลงทุนด้วยใจรัก

จริงๆ ซึ่งการสร้างห้องอัดขนาดนั้นถึงแม้จะเป็นเพียงห้องขนาดไม่ใหญ่มากก็ยังต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่าสิบล้านบาทในการสร้างขึ้นมา
 ผมท้าได้เลยว่า ใครทำห้องอัดขนาดนั้นในสมัยนี้แล้วกำไรนี่มาเตะตูดผมได้เลย  แต่อย่างน้อยผมคนนึงล่ะที่ยังใช้บริการห้องอัดเหล่านั้นอยู่
ถึงผมจะมีห้องอัดของตัวเองที่ลงทุนไปหลายล้านก็ตาม

อะไรที่ห้องอัดผมไม่สามารถรองรับได้ผมก็จะไม่ฝืน
คำว่าคุณภาพก็ยังคงเป็นสิ่งผมให้ความสำคัญกับมันเสมอ
ซึ่งหมายความว่าต้นทุนการผลิตของผมก็จะสูงตามขึ้นไปด้วยเป็นทวีคูณ
แต่ก็ยังเชื่อว่ายังมีอีกหลายๆคนที่ทำเหมือนผม ทำทุกอย่างด้วยใจที่รักในเสียงดนตรี และยังคงมีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นผลงานของตัวเองออกไปสู่คนฟัง


ที่เขียนมาทั้งหมดไม่ได้ต้องการอะไรทั้งนั้นครับ
แค่เป็นห่วงคนในอาชีพนี้ ในรุ่นต่อๆไปจากนี้
จะต้องเผชิญกับความโหดร้ายโดยบริสุทธิใจในรูปแบบไหนอีกบ้าง

 จนถึงทุกวันนี้ ไม่มีอะไรที่จะส่อเค้าเลยว่า อาชีพนี้จะดีขึ้น
 ไม่ต้องถึงกับรวยหรอกครับ แค่ไม่แย่ไปกว่านี้ก็ยังดี
ทุกวันนี้ใครที่ถามผมว่าทำยังไงได้เป็นแบบพี่บ้าง ผมจะตอบเลยว่าทำอาชีพอื่นเถอะน้อง ใครมีลูกมีหลานก็ฝากเตือนไว้ด้วยเหมือนกันนะครับ



ปล. ที่พิมพ์มาทั้งหมดนี่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับกรณีyoutubeนะครับ
ผมแค่โปรดิ๊วเซอร์ตัวเล็กๆคนนึง คงไม่อาจจะฝืนกระแสสังคมได้
อย่างมากก็เลิกออกไปปลูกผัก เลี้ยงไก่ ก็แค่นั้นครับ...

Wednesday, 8 August 2012

Bangkok and Underground Music scene


หลายคนคงชอบ กรุงเทพ และ หลายๆคนคงไม่ชอบกรุงเทพ เพราะมีเรื่องอะไรที่แย่ๆ และ เรื่องที่ดีเยอะแยะ แต่ว่า ผมจะไม่พูดถึงเรื่องนั้นๆ
โดยส่วนตัวอยากพูดถึงเรื่องวงการดนตรี ใต้ดิน และ วงการดนตรีบนดิน ทั้งหลาย ที่จะพูดก็คงเกี่ยวกับ ชาวร๊อค ชาวพังค์ ชาวอะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวกับวงดนตรี ที่เรียกว่า rock นั้นเอง
ก็คงไม่มีอะไรมาก นอกจากมีความคิดที่ว่า เฮ้ย บ้านเรามันเงียบเชียบ ไปป่าววะ อะไรก็ไม่มีให้ดู ไม่มีศิลปิน หลงเหลืออยู่แล้วเหรอนี่ (อันที่จริง ก็มีเยอะนะ แต่ตัวผมเองไม่ได้ไปรับชมการแสดงสดของวงต่างๆในช่วงเวลานี้ สักเท่าไร) ก็คือมันมีความรู้สึกที่ ว่า เหงา จัง เบื่อจัง ที่ไม่ค่อยมีวง อะไรให้ดูสักเท่าไร ไม่มี Underground Music scene มากเท่ากับช่วงเวลาที่ ผมยังโลดแล่นในยุธทจักรเสียงเพลง
เสียดายเหมือนกันที่ไม่ค่อยได้ เห็นงานดีๆเกิดขึ้นบ่อย  คิดถึงสมัยก่อน ที่ ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ จะมี
งาน อันเดอร์กราว ของหลายๆ กลุ่ม จัด ที่โน้นบ้าง ที่นี่บ้าง
เลยรู้สึกว่า เงียบ เหงา มากๆ ช่วงนี้  เฮ้ออออออออออออออออออออออออออออออออ
เมื่อไร อะไรสนุกๆแบบ นั้นจะกลับมาสักทีนะ



เอาเป็นว่าผมก็เริ่มต้นพูดอะไรแค่นี้ แบบ สไตล์บ่นๆไปก่อน แล้วเด่ว วันหลังมาอัพเรื่องราวเล่าสู่กันฟังต่อนะครับ ผม