Sunday, 19 August 2012

เมืองไทยต้องปฎิวัติ ในเรื่องเกี่ยวกับการสนับสนุนคนทำเพลง และ สนับสนุนให้ผู้คนมีมนุษย์ธรรม ลงไปใสสมอง เลิกเห็นแก่ตัว และ เงินทอง จนเกินไป

โปรดอ่านครับเพื่อนพี่น้อง ผมว่า เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ครับ
และก็ผมแสดงความเสียใจเกี่ยวกับเรื่องที่ ผมจะนำเสนอนี้ด้วย เพราะว่า พี่คนนี้เขา ทำอะไรด้วยใจ
แต่อย่างว่า ใครแม่งทำอะไรด้วยใจ คนเราสมัยนี้ไม่เคยเห็นคุณค่าของ คนสักเท่าไรหรอก
มันช่าง น่าเสียดายจริงๆ    บทความพี่เขานี้  ค่อนข้างน้อยอกน้อยใจนิดหน่อย แต่ก็พี่เขาอยากให้เห็นว่ามันเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากๆ   เอางี้ ละกันนะครับ   ลองไปคิดกันดูเองแล้วกันว่า เป็นอย่างไร   ขอบคุณครับที่ พี่เขาโพสอะไรดีๆ ไว้ให้เราอ่านและ คิดกัน



>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>


บันทึก  04.20 10/08/55
by Ope Pisitsungkakarn

ผมเป็นคนๆนึงที่ถือว่าโชคดี
ที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงแทบจะทั้งหมดของวงการดนตรี
ตั้งแต่การอัดลงเทป 4 แทรค จนพัฒนาไปเป็นเทปreel 16 แทรค
จนถึงเป็นระบบdigital ตั้งแต่ต้องฟังเพลงด้วยแผ่นเสียง
ต่อมาก็เป็นตลับเทปม้วนใหญ่คล้ายๆตลับเกมส์
จนพัฒนามาเป็นคลาสเซ็ทเทป จนถึงเป็นซีดี

ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง
ผลลัพท์ในการเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งจะเป็นผลบวกเสมอ เช่น ระบบเสียงดีขึ้น สะดวกในการฟังมากขึ้น อุปกรณ์หาง่ายและมีให้เลือกมากขึ้น
ทำให้ธุรกิจทางด้านบันเทิงมีความเจริญรุ่งเรือง
เราสามารถที่จะมีเครืองไม้เครื่องมือที่ทันสมัยทัดเทียมกับต่างประเทศได้ไม่ยากนัก

แต่เมื่อวันนึง
ใครก็ไม่รู้คิดค้นวิธีอัดบีบเพลงให้เล็กลงโดยสูญเสียคุณภาพไปบ้าง
แต่ก็สะดวกในการที่จะอัดเพลงหลายๆเพลง
ลงในซีดีหรือแฟลชไดรฟ์เพียงชิ้นเดียว

นับจากวันนั้นทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป
เกิดการละเมิดลิขสิทธ์เกิดขึ้นมากมายจนไม่สามารถแก้ไขได้
เพลงๆนึงจากเคยที่มีราคาประมาณ 30 บาท
(จากราคาซีดีสมัยนั้นคือประมาณ 300 บาทนะครับ)
เหลือเพียงแค่ไม่ถึงหนึ่งบาท(แผ่นผี)

พวกคนทำงานอย่างพวกผมบอกได้เลยว่าล่มสลายไปเกินครึ่ง
รายได้หายไปเกิน 70% ทำให้จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนขั้นตอน
ระบบในการทำงานลงให้เล็กที่สุด ทำต้นทุนให้ถูกที่สุด

จากที่เคยไปใช้ห้องอัดที่ดีๆมีมาตราฐาน
ก็กลายเป็นต้องพยายามจบงานทุกอย่างให้ได้ภายในคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว
 บางคนอาจจะเถียงนะครับว่า
เทคโนโลยีสมัยนี้มันน่าจะเอื้ออำนวยในการทำแบบนั้นได้
ซึ่งผมก็ไม่เถียงนะครับ มันจบงานได้จริง
 แต่ผมบอกได้เลยว่าคุณภาพที่ได้มันต่างกันมาก

แต่ก็ช่างมันเถอะ เพราะยังไงส่วนใหญ่ก็ฟังในรูปแบบMP3อยู่แล้ว
ดีไม่ดีอย่างไรก็คงไม่สำคัญอะไร(มั้ง)  พวกผมทำได้ก็แค่เพียงปรับตัวให้อยู่รอดได้
ซึ่งคนทำเพลงดีๆทีผมรู้จักหลายสิบคนก็เปลี่ยนอาชีพไปทำมาหากินอย่างอื่นแล้ว
 ใครที่่ยังพอปรับตัวได้ หรือมีทุนทรัพย์ส่วนตัวแข็งแรงก็สู้กันต่อไป


 มาจนถึงยุคปัจจุบัน
การพัฒนาในทางเทคโนโลยีก็เป็นไปอย่างก้าวกระโดด

การได้ฟังเพลงฟรีในทุกวันนี้แทบจะถือเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของคนทั่วๆไป
 เคยได้ยินกับหูหลายครั้งที่ว่า จะไปหาซื้อทำไม มีให้โหลดเยอะแยะ
ถามว่าผมเข้าใจมั้ย ผมเข้าใจนะครับ อยากฟังเพลงไรก็เข้าเวปsearchหาได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที สะดวกจะตาย แถมไม่เสียตังค์ซักบาท
แถมยังสามารถจัดแคตตาล๊อคเพลงได้ตามที่ชอบ writeลงcdแผ่นเดียว
เปิดฟังได้ตั้งแต่กรุงเทพยันเชียงใหม่โดยไม่ซ้ำกันซักเพลง

เป็นการเข้าสู่ยุคแห่งการละเมิดลิขสิทธิ์แบบสุดโต่ง
ประชาชนเกินครึ่งประเทศต้องการฟังเพลงฟรี

 ถามอีกว่าผมเข้าใจมั้ย ผมก็เข้าใจครับ
หลายๆคนก็บอกว่า ถึงขายซีดีไม่ได้ ขายdownloadไม่ได้

 ก็ยังขายโชว์ได้นี่นา ถูกครับ การได้มีงานโชว์ตัว
 หรือคอนเสริตคือรายได้หลักสุดท้ายของคนที่เป็นศิลปิน
แต่พวกที่ทำงานอย่างพวกผมล่ะครับ ได้ไปแสดงอะไรกับเค้าทีไหนล่ะ
จริงอยู่ที่่อาจจะมีรายได้จากลิขสิทธิ์เพลงที่เอาไปโชว์กลับมาอยู่บ้าง

 แต่บอกได้เลยว่าหลักร้อยต้นๆต่อหนึ่งโชว์ครับ
(ต้องหลายเพลงด้วยนะครับ)
 ส่วนรายได้จากการดาวน์โหลด ซีดี หรือ
ส่วนแบ่งจากรายได้อื่นๆนี่เลิกรอไปนานแล้วครับ
พวกผมเรียกกันว่าค่าขนมครับ นานๆมาที ทีละขำๆครับ


ทีนี้อยากให้ลองหลับตาแล้วนึกภาพตามนะครับ การทำอัลบั้มๆนึง
ตั้งแต่เริ่มขึ้นงานครั้งแรกโดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 9 - 12 เดือน

ถ้าเป็นอัลบั้มที่ติดขัดหน่อยอาจใช้เวลาถึง 2 ปีหรือกว่านั้น
 (ใครไม่เชื่อสามารถเช็คในไทม์ไลน์ของผมได้เลยว่าอัลบั้มๆนึงที่ผมทำใช้เวลา
นานขนาดไหน) ค่าใช้จ่ายในการทำอัลบั้ม ไม่ว่าจะเป็น ค่าห้องอัด ค่าจ้างนัก
ดนตรีมาอัดงานให้ ค่าmixเสียง ค่านักร้อง ค่่าคนทำเพลง เขียนเพลง และอีก
สารพัด อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีห้าแสนบาท นี่ยังไม่เกี่ยวกับค่าทำMV ค่าโฆษณา

 อะไรเลยนะครับ ที่นี้ลองนึกดูต่อนะครับ สมมุติว่าผมทำอัลบั้มๆนึง
 โดยมีงบหกแสนบาท หกแสนบาทนี้จะต้องถูกแจกจ่ายไปตามบุคลากรต่างๆที่อยู่ในขั้นตอนการผลิตต่างๆอย่างที่บอกไว้ข้างต้น

ผมเป็นโปรดิ๊วเซอร์ก็อาจจะได้เยอะหน่อย บวกค่าทำเพลงไปด้วย(ถ้ามี)
ก็น่าจะถึงตัวซัก 6-7 หมื่นบาท และโชคดีที่ผมมีห้องอัดอยู่ที่บ้านอยู่แล้ว
 เลยค่าห้องอัดต่างหากอีกประมาณแสนนึง มากสุดก็ไม่เกินแสนห้า
 แต่โปรดิ๊วเซอร์หลายคนก็ไม่ได้มีห้องอัดเหมือนผมก็รับแต่ค่าโปรดิ๊วเท่านั้น
  รวมแล้วทั้งโปรเจ็คน่าจะถึงตัวผมประมาณแสนห้าถึงสองแสน
ถ้าโชคดีอัลบั้มนี้ไม่มีปัญหา ก็น่าจะเสร็จภายในเก้าเดือน (270วัน)
ลองหารดูนะครับ ถ้าได้สองแสน หารด้วย 270 ก็ตกวันละประมาณ 740 บา
ท ถ้า แสนห้าก็ตกวันละ 555.55 บาท (เลขสวยมาก)
แต่ถ้าโชคร้ายอัลบั้มนี้ผมใช้เวลาไป18เดือนล่ะ (540วัน)
 ไปหารกันเอาเองนะครับก็มากกว่าแรงงานขั้นต่ำของนายกไม่ถึงร้อยอ่ะครับ 5555


คนที่ชอบฟังเพลงส่วนใหญ่คงรู้นะครับว่าสมัยนี้การปล่อยเพลงจะเป็นแบบsingle คือปล่อยมาที่ละเพลง ซึ่งก็หมายถึงว่า ออกเพลงนึง
 พวกผมก็ได้เงินเพลงนึงเหมือนกัน

เกิดงานไม่ประสพความสำเร็จก็อาจจะต้องหยุด เวลาที่เสียไปกับการเตรียมงาน ขึ้นงาน อัดเดโม่ และอีกมากมาย จะไปตามทวงใครก็ไม่ได้ ไม่เตรียมก็ไม่ได้  หลายครั้งที่พยายามรอบคอบแล้ว ไตร่ตรองดีแล้ว แต่ก็ไม่วายเกิดปัญหาอีก สุดท้ายก็เสียเปล่าไปทั้งเวลาและค่าน้ำ ค่าไฟ


ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่าตอนนี้ห้องอัดดีๆ
เครื่องไม้เครื่องมือดีๆมีมาตรฐานในระดับของห้องอัด
 ที่มีอยู่ในประเทศเรามีเหลือเพียงไม่กี่ที่เท่านั้น แล้วทีมีแทบจะทั้งหมดล้วนแล้วเกิดจากการใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัวที่มีอยู่แล้วจากกิจการงานอื่นๆมาลงทุนด้วยใจรัก

จริงๆ ซึ่งการสร้างห้องอัดขนาดนั้นถึงแม้จะเป็นเพียงห้องขนาดไม่ใหญ่มากก็ยังต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่าสิบล้านบาทในการสร้างขึ้นมา
 ผมท้าได้เลยว่า ใครทำห้องอัดขนาดนั้นในสมัยนี้แล้วกำไรนี่มาเตะตูดผมได้เลย  แต่อย่างน้อยผมคนนึงล่ะที่ยังใช้บริการห้องอัดเหล่านั้นอยู่
ถึงผมจะมีห้องอัดของตัวเองที่ลงทุนไปหลายล้านก็ตาม

อะไรที่ห้องอัดผมไม่สามารถรองรับได้ผมก็จะไม่ฝืน
คำว่าคุณภาพก็ยังคงเป็นสิ่งผมให้ความสำคัญกับมันเสมอ
ซึ่งหมายความว่าต้นทุนการผลิตของผมก็จะสูงตามขึ้นไปด้วยเป็นทวีคูณ
แต่ก็ยังเชื่อว่ายังมีอีกหลายๆคนที่ทำเหมือนผม ทำทุกอย่างด้วยใจที่รักในเสียงดนตรี และยังคงมีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นผลงานของตัวเองออกไปสู่คนฟัง


ที่เขียนมาทั้งหมดไม่ได้ต้องการอะไรทั้งนั้นครับ
แค่เป็นห่วงคนในอาชีพนี้ ในรุ่นต่อๆไปจากนี้
จะต้องเผชิญกับความโหดร้ายโดยบริสุทธิใจในรูปแบบไหนอีกบ้าง

 จนถึงทุกวันนี้ ไม่มีอะไรที่จะส่อเค้าเลยว่า อาชีพนี้จะดีขึ้น
 ไม่ต้องถึงกับรวยหรอกครับ แค่ไม่แย่ไปกว่านี้ก็ยังดี
ทุกวันนี้ใครที่ถามผมว่าทำยังไงได้เป็นแบบพี่บ้าง ผมจะตอบเลยว่าทำอาชีพอื่นเถอะน้อง ใครมีลูกมีหลานก็ฝากเตือนไว้ด้วยเหมือนกันนะครับ



ปล. ที่พิมพ์มาทั้งหมดนี่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับกรณีyoutubeนะครับ
ผมแค่โปรดิ๊วเซอร์ตัวเล็กๆคนนึง คงไม่อาจจะฝืนกระแสสังคมได้
อย่างมากก็เลิกออกไปปลูกผัก เลี้ยงไก่ ก็แค่นั้นครับ...

Wednesday, 8 August 2012

Bangkok and Underground Music scene


หลายคนคงชอบ กรุงเทพ และ หลายๆคนคงไม่ชอบกรุงเทพ เพราะมีเรื่องอะไรที่แย่ๆ และ เรื่องที่ดีเยอะแยะ แต่ว่า ผมจะไม่พูดถึงเรื่องนั้นๆ
โดยส่วนตัวอยากพูดถึงเรื่องวงการดนตรี ใต้ดิน และ วงการดนตรีบนดิน ทั้งหลาย ที่จะพูดก็คงเกี่ยวกับ ชาวร๊อค ชาวพังค์ ชาวอะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวกับวงดนตรี ที่เรียกว่า rock นั้นเอง
ก็คงไม่มีอะไรมาก นอกจากมีความคิดที่ว่า เฮ้ย บ้านเรามันเงียบเชียบ ไปป่าววะ อะไรก็ไม่มีให้ดู ไม่มีศิลปิน หลงเหลืออยู่แล้วเหรอนี่ (อันที่จริง ก็มีเยอะนะ แต่ตัวผมเองไม่ได้ไปรับชมการแสดงสดของวงต่างๆในช่วงเวลานี้ สักเท่าไร) ก็คือมันมีความรู้สึกที่ ว่า เหงา จัง เบื่อจัง ที่ไม่ค่อยมีวง อะไรให้ดูสักเท่าไร ไม่มี Underground Music scene มากเท่ากับช่วงเวลาที่ ผมยังโลดแล่นในยุธทจักรเสียงเพลง
เสียดายเหมือนกันที่ไม่ค่อยได้ เห็นงานดีๆเกิดขึ้นบ่อย  คิดถึงสมัยก่อน ที่ ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ จะมี
งาน อันเดอร์กราว ของหลายๆ กลุ่ม จัด ที่โน้นบ้าง ที่นี่บ้าง
เลยรู้สึกว่า เงียบ เหงา มากๆ ช่วงนี้  เฮ้ออออออออออออออออออออออออออออออออ
เมื่อไร อะไรสนุกๆแบบ นั้นจะกลับมาสักทีนะ



เอาเป็นว่าผมก็เริ่มต้นพูดอะไรแค่นี้ แบบ สไตล์บ่นๆไปก่อน แล้วเด่ว วันหลังมาอัพเรื่องราวเล่าสู่กันฟังต่อนะครับ ผม